Frontend Frameworks

Frontend Developer Roadmap (Part 2): Vue.js

เจาะลึก Vue.js อย่างละเอียด: ตั้งแต่พื้นฐาน จนถึง Composition API, Reactivity, และการใช้งานจริง

August 25, 2025
Hero image for Frontend Developer Roadmap (Part 2): Vue.js

Frontend Developer Roadmap (Part 2): Vue.js

สวัสดีครับนักพัฒนาทุกท่าน ยินดีต้อนรับสู่ตอนที่ 2 ของซีรีส์ “Frontend Developer Roadmap”

ในตอนนี้ เราจะมาเจาะลึก Vue.js — หนึ่งในเฟรมเวิร์ก JavaScript ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในโลก ด้วยความ เรียบง่าย ยืดหยุ่น และเข้าใจง่าย โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น

Vue.js ไม่ได้เป็นแค่ทางเลือก แต่เป็น ทางออกที่ทรงพลัง สำหรับทั้งโปรเจกต์เล็กและองค์กรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในจีน ยุโรป และกลุ่มผู้พัฒนาที่ชื่นชอบความชัดเจนและควบคุมได้

บทความนี้ออกแบบมาเพื่อให้คุณ:

  • เข้าใจ Vue.js อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่ “ใช้ได้”
  • รู้ว่า Vue จัดการ reactivity อย่างไร
  • เข้าใจความต่างระหว่าง Options API และ Composition API
  • รู้จักเครื่องมือใน Ecosystem ที่จำเป็น
  • เตรียมความพร้อมสำหรับการใช้ Vue ร่วมกับ Nuxt.js (ในบทความต่อไป)
💡 Pro Tip!

Vue.js ถูกออกแบบมาเพื่อ เรียนรู้ง่าย และ เริ่มใช้งานได้ทันที แม้จะแค่แทรกใน HTML ผ่าน <script> ก็สามารถใช้งานได้แล้ว


Vue.js คืออะไร?

Vue.js (อ่านว่า “วิว” /vjuː/) คือ เฟรมเวิร์ก JavaScript สำหรับสร้าง User Interface (UI) ที่ใช้งานง่ายและทรงพลัง

Vue ถูกออกแบบมาให้เป็น “Progressive Framework” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้มันยืดหยุ่นสูง

💡 💡 Progressive Framework คืออะไร?

หมายความว่าคุณสามารถเริ่มต้นใช้ Vue แค่ส่วนเล็กๆ ในโปรเจกต์ของคุณ (เช่น ทำแค่ Widget แสดงผลข้อมูล) แล้วค่อยๆ ขยายการใช้งานไปสู่เครื่องมืออื่นๆ ใน Ecosystem ของ Vue (เช่น Vue Router, Pinia) เมื่อโปรเจกต์มีความซับซ้อนมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องนำทั้งระบบเข้ามาใช้ตั้งแต่แรก

🔥 6 เหตุผลที่ทำให้ Vue โดดเด่นและน่าใช้ในปี 2025

เรียนรู้และเริ่มต้นง่าย

ขึ้นชื่อว่ามี Learning Curve ที่เป็นมิตรที่สุดในกลุ่มเฟรมเวิร์กหลัก ด้วยโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อนและ API ที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นอย่างยิ่ง

เอกสารประกอบยอดเยี่ยม

เอกสารของ Vue (vuejs.org) ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งในวงการ มีคำอธิบายชัดเจนพร้อมตัวอย่างโค้ดแบบ Interactive

ยืดหยุ่นทุกขนาดโปรเจกต์

ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง Widget เล็กๆ, Single-Page Application (SPA) เต็มรูปแบบ, หรือระบบหลังบ้านขนาดใหญ่ Vue ก็สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด

Performance ทรงพลัง

Vue 3 ใช้ระบบ Reactivity ที่สร้างจาก JavaScript Proxies ทำให้การอัปเดตข้อมูลไปยัง UI เป็นไปอย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพสูง

Composition API

ช่วยให้จัดระเบียบโค้ดตามฟังก์ชันได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่ต้องการความยืดหยุ่นและการนำโค้ดกลับมาใช้ซ้ำ (Reusability)

Ecosystem ที่แข็งแกร่ง

มีเครื่องมือหลักที่ดูแลโดยทีมงาน Vue เอง เช่น Vue Router, Pinia และ Vite พร้อมชุมชนนักพัฒนาที่พร้อมช่วยเหลือทั่วโลก


แนวคิดหลักของ Vue.js

หัวใจของ Vue คือการเปลี่ยนมุมมองการพัฒนาเว็บ จากเดิมที่เราต้อง สั่ง ให้เบราว์เซอร์ทำอะไรทีละขั้นตอน (Imperative) มาเป็นการ บอก ว่าผลลัพธ์สุดท้ายควรมีหน้าตาอย่างไร (Declarative)

แนวคิดนี้ทำให้เราเขียนโค้ดที่เข้าใจง่ายและบำรุงรักษาง่ายขึ้นมาก

1. Declarative Rendering (การแสดงผลเชิงพรรณนา)

แทนที่จะเขียนโค้ดเพื่อเข้าไปจัดการ DOM โดยตรง (เช่น การใช้ document.getElementById) Vue เปิดให้เราใช้ Template Syntax ที่คล้าย HTML เพื่อ “พรรณนา” หรือ “ประกาศ” ว่า UI ควรมีหน้าตาอย่างไรเมื่อข้อมูล (State) เป็นค่านั้นๆ

💡 เปรียบเทียบ: Imperative vs. Declarative
  • Imperative (เชิงคำสั่ง): “ไปที่ Element ที่มี id ‘app’, จากนั้นเปลี่ยนข้อความข้างในเป็น ‘สวัสดี Vue!’” (นี่คือวิธีของ JavaScript ปกติ)

  • Declarative (เชิงพรรณนา): “ใน Element ที่มี id ‘app’, ข้อความ message จะต้องแสดงผลตรงนี้เสมอ” (นี่คือวิธีของ Vue)

ดูตัวอย่างโค้ดนี้:

<!-- index.html -->
<script src="https://unpkg.com/vue@3"></script>

<div id="app">
  <h1>{{ message }}</h1>
</div>

<script>
  // app.js
  const { createApp } = Vue

  createApp({
    data() {
      return {
        message: 'สวัสดี Vue!'
      }
    }
  }).mount('#app')
</script>

จากโค้ดด้านบน เราเพียงแค่ ประกาศ (Declare) ว่าต้องการให้ข้อความใน message แสดงผลอยู่ภายในแท็ก < h1> เท่านั้น ส่วนที่เหลือ… Vue จะจัดการเองทั้งหมด เมื่อค่าของ message เปลี่ยนแปลงในอนาคต DOM ก็จะอัปเดตตามโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นหัวใจของระบบ Reactivity

💡 ✅ Key Takeaway

เราไม่ต้องยุ่งกับการจัดการ DOM ที่ซับซ้อนอย่าง document.getElementById(...).innerText = ... อีกต่อไป ทำให้เราสามารถโฟกัสกับ Logic ของแอปพลิเคชันได้อย่างเต็มที่


2. Component-Based Architecture (สถาปัตยกรรมเชิงคอมโพเนนต์)

เมื่อแอปพลิเคชันมีขนาดใหญ่ขึ้น การจัดการโค้ด HTML, CSS และ JavaScript ที่กองรวมกันอยู่ในไฟล์ใหญ่ๆ จะกลายเป็นฝันร้ายทันที

Vue แก้ปัญหานี้โดยให้เราแตก UI ทั้งหมดออกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ที่ทำงานแยกกันและนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ที่เรียกว่า Component

💡 💡 คิดภาพตาม

ลองนึกถึงหน้าเว็บเหมือนการต่อเลโก้:

  • Component คือ ตัวต่อเลโก้ หนึ่งชิ้น (เช่น ปุ่ม, ช่องค้นหา, การ์ดแสดงสินค้า)
  • หน้าเว็บ คือ ปราสาทเลโก้ ที่เกิดจากการนำตัวต่อแต่ละชิ้นมาประกอบกัน

เราสามารถสร้าง “ปุ่ม” (Component) แค่ครั้งเดียว แล้วนำไปใช้ซ้ำกี่ครั้งก็ได้ทั่วทั้งเว็บไซต์

ความมหัศจรรย์ของ Vue คือการรวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Component หนึ่งๆ ไว้ในไฟล์เดียว ที่เรียกว่า Single-File Component (SFC) ซึ่งจะมีนามสกุลเป็น .vue

// src/components/MyButton.vue

<template>
  <button class="btn" :class="`btn-${variant}`" @click="$emit('action')">
    <slot /> <!-- แสดงข้อความหรือไอคอนที่ส่งเข้ามา -->
  </button>
</template>

<script setup>
// Vue 3 Composition API style
defineProps({
  variant: {
    type: String,
    default: 'primary' // 'primary' or 'secondary'
  }
})

defineEmits(['action'])
</script>

<style scoped>
/* สไตล์เหล่านี้จะถูกจำกัดให้ใช้แค่ใน Component นี้เท่านั้น */
.btn {
  padding: 0.5rem 1rem;
  border: none;
  border-radius: 6px;
  font-weight: 600;
  cursor: pointer;
  transition: transform 0.1s ease-in-out;
}
.btn:hover {
  transform: scale(1.05);
}
.btn-primary {
  background-color: var(--brand-color);
  color: white;
}
.btn-secondary {
  background-color: var(--card-border-color);
  color: var(--font-color);
}
</style>
เจาะลึกโครงสร้างไฟล์ .vue
<template> — ส่วนของโครงสร้าง (HTML)

เป็นส่วนที่กำหนดหน้าตาและโครงสร้างของ Component เราสามารถใช้ HTML มาตรฐานร่วมกับ Syntax พิเศษของ Vue เช่น :class (สำหรับ Dynamic Binding) หรือ @click (สำหรับ Event Handling) ได้

<script> — ส่วนของตรรกะ (JavaScript)

เป็นส่วนที่จัดการ Logic, ข้อมูล (Data), และสถานะ (State) ของ Component ในตัวอย่างนี้เราใช้ defineProps เพื่อรับค่าจากภายนอก และ defineEmits เพื่อส่ง Event กลับออกไป

<style scoped> — ส่วนของสไตล์ (CSS)

เป็นส่วนที่กำหนดสไตล์ให้กับ Component จุดเด่นคือคำว่า scoped ที่จะบังคับให้ CSS เหล่านี้มีผลเฉพาะกับ Component นี้เท่านั้น ไม่รั่วไหลไปกระทบส่วนอื่นของเว็บไซต์!

💡 ✅ Key Takeaway

การรวม HTML, CSS, และ JavaScript ที่เกี่ยวข้องกันไว้ในไฟล์ .vue ไฟล์เดียว ทำให้โค้ดของเราเป็นระเบียบสูง ค้นหาง่าย และบำรุงรักษาได้สะดวกอย่างไม่น่าเชื่อ


3. Reactivity System (ระบบปฏิกิริยาตอบสนอง)

นี่คือ “เวทมนตร์” ที่ทำให้ Vue โดดเด่นและใช้งานง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ แทนที่เราจะต้องคอยสั่งให้ UI อัปเดตทุกครั้งที่ข้อมูลเปลี่ยน Vue จะทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยที่คอย “จับตาดู” ข้อมูลของเรา และเมื่อข้อมูลนั้นเปลี่ยนแปลง Vue จะอัปเดตหน้าจอให้โดยอัตโนมัติ

ทำงานอย่างไรเบื้องหลัง?

เบื้องหลังเวทมนตร์นี้คือเทคโนโลยีของ JavaScript ที่เรียกว่า Proxy

💡 💡 เปรียบเทียบให้เห็นภาพ: Vue คือผู้จัดการข้อมูลส่วนตัว
  1. ขั้นตอนที่ 1 (ลงทะเบียน): เมื่อ Component ของคุณแสดงผลครั้งแรกและมีการเรียกใช้ข้อมูล เช่น count ผู้จัดการ (Vue) จะแอบจดลงในสมุดบันทึกทันทีว่า “โอเค, Component ชิ้นนี้สนใจข้อมูล count อยู่นะ” — นี่คือการ ติดตาม Dependency (Dependency Tracking)

  2. ขั้นตอนที่ 2 (ตรวจจับการเปลี่ยนแปลง): เมื่อมีโค้ดส่วนไหนก็ตามมาเปลี่ยนแปลงค่าของ count ผู้จัดการ (Vue) จะรู้ทันที เพราะทุกการเข้าถึงข้อมูลจะต้องผ่านเขา (ผ่าน Proxy)

  3. ขั้นตอนที่ 3 (แจ้งเตือนให้อัปเดต): ผู้จัดการจะเปิดสมุดบันทึกดู แล้วส่งข้อความไปหาทุก Component ที่เคยลงทะเบียนไว้ว่าสนใจ count แล้วบอกว่า “เฮ้! ค่า count ที่คุณสนใจเปลี่ยนไปแล้วนะ อัปเดตตัวเองด่วน!” — นี่คือการ Trigger Re-render

ลองดูตัวอย่าง Component Counter ง่ายๆ นี้:

<script setup>
import { ref } from 'vue'

// 1. ประกาศ state 'count' ที่เป็น reactive
const count = ref(0)

function increment() {
  // 3. เมื่อเราเปลี่ยนค่า .value, Vue จะรู้ทันที
  count.value++
}
</script>

<template>
  <!-- 2. เมื่อ template อ่านค่า count, Vue จะจดไว้ว่า UI ส่วนนี้ผูกกับ count -->
  <p>Count is: {{ count }}</p>
  <button @click="increment">Click me</button>
</template>
💡 ตัวอย่างการทำงานของ Reactivity

จากโค้ดด้านบน…

  • สมมติคุณมี count ใน data (ซึ่งถูกสร้างด้วย ref(0))

  • เมื่อคุณเขียน {{ count }} ใน template, Vue จะทำการ ‘ลงทะเบียน’ ทันทีว่า “ย่อหน้า <p> นี้ผูกอยู่กับข้อมูล count นะ”

  • เมื่อคุณคลิกปุ่มและฟังก์ชัน increment ทำงาน ทำให้ค่า count.value เปลี่ยนจาก 0 เป็น 1…

  • Vue จะรู้ทันทีและสั่งให้เฉพาะส่วน {{ count }} นั้นอัปเดตตัวเองเป็นค่าใหม่บนหน้าจอ โดยไม่ไปยุ่งกับส่วนอื่นเลย!

💡 ✅ Key Takeaway

หัวใจของ Reactivity คือการทำงานให้ น้อยที่สุดและตรงจุดที่สุด Vue ไม่ได้วาดหน้าจอใหม่ทั้งหมด แต่จะอัปเดตเฉพาะ Element ที่ข้อมูลเกี่ยวข้องมีการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้แอปพลิเคชันที่สร้างด้วย Vue ทำงานได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูง


Options API vs Composition API

Vue มีรูปแบบการเขียน Component ให้เราเลือกใช้ 2 สไตล์หลัก ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นและเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เรามาเริ่มจากสไตล์ดั้งเดิมกันก่อน

1. Options API — คลาสสิก, จัดระเบียบเหมือนชั้นวางหนังสือ

นี่คือสไตล์การเขียนแบบดั้งเดิมของ Vue ที่เป็นที่รู้จักและรักใคร่ของนักพัฒนามานาน เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่มต้นและโปรเจกต์ขนาดเล็กถึงกลาง เพราะมีโครงสร้างที่ชัดเจนและบังคับให้เราจัดระเบียบโค้ดเป็นหมวดหมู่

💡 💡 คิดภาพตาม: การกรอกแบบฟอร์ม

การเขียน Component ด้วย Options API เหมือนกับการกรอกแบบฟอร์มที่มีช่องต่างๆ มาให้เรียบร้อยแล้ว:

  • ช่องสำหรับข้อมูล: data
  • ช่องสำหรับฟังก์ชัน: methods
  • ช่องสำหรับข้อมูลที่คำนวณได้: computed
  • ช่องสำหรับ Lifecycle Hooks: mounted, created, updated

หน้าที่ของเราคือเติมโค้ดลงไปในช่องที่ถูกต้องเท่านั้นเอง

นี่คือตัวอย่าง Component Counter ที่เขียนด้วย Options API:

// src/components/Counter.vue (Options API)

export default {
  // 1. "ข้อมูล" ทั้งหมดของ Component
  data() {
    return {
      count: 0
    }
  },
  // 2. "ฟังก์ชัน" ทั้งหมดที่ใช้ใน Component
  methods: {
    increment() {
      // ใช้ 'this' เพื่อเข้าถึงข้อมูลใน data
      this.count++
    }
  },
  // 3. "ข้อมูลที่ต้องคำนวณ" ค่าจะเปลี่ยนตาม data ที่ผูกไว้
  computed: {
    double() {
      return this.count * 2
    }
  },
  // 4. "Lifecycle Hook" ฟังก์ชันที่จะรันเมื่อถึงช่วงชีวิตที่กำหนด
  mounted() {
    console.log(`The initial count is ${this.count}. Component is ready!`)
  }
}
เจาะลึกแต่ละ Option
data()

เป็นฟังก์ชันที่ต้อง return object ซึ่งบรรจุ “State” หรือข้อมูลทั้งหมดที่ Component นี้ต้องใช้ Vue จะทำให้ข้อมูลทั้งหมดในนี้เป็น Reactive โดยอัตโนมัติ

methods

เป็น object ที่เก็บฟังก์ชันทั้งหมดที่เราต้องการใช้ใน Component เช่น ฟังก์ชันที่ถูกเรียกเมื่อมีการคลิกปุ่ม

computed

ใช้สำหรับข้อมูลที่ต้องคำนวณจาก State อื่นๆ Vue จะคำนวณค่านี้ใหม่ก็ต่อเมื่อ State ที่มันอ้างอิงถึงมีการเปลี่ยนแปลงเท่านั้น (Cached) ทำให้มีประสิทธิภาพสูง

mounted()

เป็นหนึ่งใน “Lifecycle Hooks” ซึ่งเป็นฟังก์ชันที่จะถูกเรียกในช่วงเวลาต่างๆ ของ Component โค้ดใน mounted จะทำงานหลังจากที่ Component ถูกสร้างและแสดงผลบนหน้าจอเรียบร้อยแล้ว

ข้อดี

  • โครงสร้างชัดเจน: บังคับให้แยกโค้ดเป็นหมวดหมู่ ทำให้ง่ายต่อการเรียนรู้และหาว่าโค้ดส่วนไหนทำอะไร
  • อ่านง่ายสำหรับคนอื่น: ใครที่เคยเขียน Vue มาก่อน จะเข้าใจโครงสร้างนี้ได้ทันที
  • this ที่ใช้งานง่าย: การเข้าถึงข้อมูลและเมธอดทำได้ง่ายผ่าน this

ข้อจำกัด

  • Logic กระจัดกระจาย: เมื่อ Component ใหญ่ขึ้น Logic ที่เกี่ยวกับฟีเจอร์เดียวกัน (เช่น การจัดการ User) จะถูกแยกไปอยู่ตาม data, methods, computed ทำให้ตามโค้ดยาก
  • ยากต่อการนำ Logic กลับมาใช้ซ้ำ (Reuse): การจะแชร์ Logic ระหว่าง Component (เช่น Logic การ Fetch ข้อมูล) ทำได้ค่อนข้างลำบากและต้องใช้วิธีที่ซับซ้อนกว่า (Mixins)

2. Composition API — ยืดหยุ่น, ทรงพลัง, จัดระเบียบตามฟีเจอร์

จำข้อจำกัดของ Options API ที่ว่าเมื่อ Component ใหญ่ขึ้น Logic ที่เกี่ยวข้องกันมักจะกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางได้ไหมครับ? Composition API ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยตรงครับ

มันคือสไตล์การเขียนแบบใหม่ที่แนะนำใน Vue 3 ซึ่งเปิดให้เรา จัดกลุ่มโค้ดตามฟังก์ชันการทำงาน (Logical Concern) แทนที่จะจัดกลุ่มตามประเภทของ Option

💡 💡 คิดภาพตาม: โต๊ะทำงานของเชฟ

ถ้า Options API คือ “ชั้นวางหนังสือ” ที่ทุกอย่างถูกจัดตามหมวดหมู่ (ข้อมูล, ฟังก์ชัน), Composition API ก็เหมือนกับ “โต๊ะทำงานของเชฟ” (Mise en place) ที่ส่วนผสมและเครื่องมือทั้งหมดสำหรับ “เมนูหนึ่งจาน” (ฟีเจอร์หนึ่งอย่าง) จะถูกนำมารวมกันไว้ในที่เดียว ทำให้หยิบใช้ง่ายและทำงานได้คล่องตัว

วิธีการเขียนแบบดั้งเดิม: ใช้ setup()

ในยุคแรกของ Vue 3 เราจะใส่ Logic ทั้งหมดไว้ในฟังก์ชันพิเศษที่ชื่อว่า setup()

// Composition API with setup() function
import { ref, computed, onMounted } from 'vue';

export default {
  setup() {
    // --- Feature: Counter Logic ---
    const count = ref(0);
    const double = computed(() => count.value * 2);
    function increment() {
      count.value++;
    }
    // --- End of Feature ---
    
    onMounted(() => {
      console.log('Component is ready!');
    });

    // ต้อง return ทุกอย่างที่ต้องการให้ template ใช้งาน
    return {
      count,
      double,
      increment
    };
  }
}

วิธีที่แนะนำและทันสมัยที่สุด: ใช้ <script setup> เพื่อลดความซ้ำซ้อนและทำให้โค้ดสั้นลงไปอีก Vue ได้แนะนำ Syntax แบบใหม่ที่เรียกว่า <script setup> ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน

<!-- MyCounter.vue (Recommended Way) -->
<script setup>
import { ref, computed, onMounted } from 'vue';

// ทุกตัวแปรหรือฟังก์ชันที่ประกาศตรงนี้
// จะสามารถใช้งานใน <template> ได้โดยอัตโนมัติ

const count = ref(0);
const double = computed(() => count.value * 2);

function increment() {
  count.value++;
}

onMounted(() => {
  console.log(`The initial count is ${count.value}.`);
});
</script>

<template>
  <div>
    <p>Count: {{ count }}</p>
    <p>Double: {{ double }}</p>
    <button @click="increment">เพิ่ม</button>
  </div>
</template>
ทำไม <script setup> ถึงดีกว่า?
เขียนน้อยกว่ามาก (Less Code)

โค้ดสั้นลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ต้องมี export default หรือ setup() ครอบอีกชั้น

ไม่ต้องมี return

นี่คือข้อดีที่ใหญ่ที่สุด! ทุกตัวแปร, ฟังก์ชัน, หรือ computed ที่เราสร้างใน <script setup> จะถูกส่งต่อไปยัง <template> โดยอัตโนมัติ ทำให้โค้ดสะอาดตาและลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาดจากการลืม return

ทำงานร่วมกับ TypeScript ได้ดีเยี่ยม

การกำหนด Type ให้กับ props และ emits ทำได้ง่ายและเป็นธรรมชาติกว่ามาก

💡 Pro Tip!

หากคุณเริ่มต้นกับ Vue 3 วันนี้ ให้ใช้ <script setup> เป็นมาตรฐานได้เลย มันคืออนาคตของการเขียน Vue Component ที่ทั้งกระชับ, ทรงพลัง, และเป็นมิตรกับนักพัฒนา

ข้อดี

  • จัดระเบียบตามฟีเจอร์: โค้ดที่เกี่ยวข้องกันจะอยู่ด้วยกันเสมอ ทำให้ง่ายต่อการบำรุงรักษาในโปรเจกต์ขนาดใหญ่
  • นำ Logic กลับมาใช้ซ้ำได้ดีเยี่ยม: เราสามารถแยก Logic ออกไปเป็นฟังก์ชันที่ใช้ซ้ำได้ (เรียกว่า “Composables”) เช่น useFetch(), useMousePosition() ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สำคัญที่สุด
  • ยืดหยุ่นสูง: ไม่มีโครงสร้างที่ตายตัว ทำให้เราออกแบบการจัดการ State ได้อย่างอิสระ
  • Type Inference ดีขึ้น: ทำงานร่วมกับ TypeScript ได้อย่างราบรื่น

ข้อจำกัด

  • Learning Curve สูงกว่าเล็กน้อย: สำหรับผู้เริ่มต้น อาจจะรู้สึกอิสระเกินไปและต้องทำความเข้าใจแนวคิด Reactivity (เช่น ref, reactive, .value) มากขึ้น
  • ต้องจัดการเองมากขึ้น: ความยืดหยุ่นต้องแลกมากับการที่ไม่มี “กรอบ” มาบังคับ ทำให้สไตล์การเขียนในทีมอาจแตกต่างกันได้หากไม่มีการตกลงกัน

Vue Directives: คำสั่งพิเศษใน HTML

Vue มี Directives — คำสั่งที่ขึ้นต้นด้วย v- ที่ช่วยเพิ่มพลังให้ HTML

  • v-model ผูกข้อมูลสองทาง (Two-way Binding)
  • v-if / v-show แสดง/ซ่อน element
  • v-for วนลูปแสดงรายการ
  • v-on (@) จับ event เช่น click, input
  • v-bind (:) ผูก attribute แบบไดนามิก
<input v-model="search" placeholder="ค้นหา..." />
<ul>
  <li v-for="user in filteredUsers" :key="user.id">
    {{ user.name }}
  </li>
</ul>
<button @click="save">บันทึก</button>
<div v-if="loading">กำลังโหลด...</div>

💡 v-if ลบ element ออกจาก DOM, v-show แค่ซ่อนด้วย CSS — เลือกใช้ตามความถี่ของการสลับ


Ecosystem ของ Vue: เครื่องมือที่จำเป็น

Vue มีระบบนิเวศที่แข็งแกร่งและเป็นทางการ

🚦 Vue Router

ตัวจัดการเส้นทางอย่างเป็นทางการสำหรับ Vue

// router/index.js
import { createRouter, createWebHistory } from 'vue-router';

const routes = [
  { path: '/', component: Home },
  { path: '/about', component: About }
];

const router = createRouter({
  history: createWebHistory(),
  routes
});
// ใช้ใน Component
router.push('/about');

🧠 Pinia — State Management

แทน Vuex รุ่นใหม่ เขียนง่าย ใช้กับ Composition API ได้ดี

// stores/counter.js
import { defineStore } from 'pinia';

export const useCounterStore = defineStore('counter', {
  state: () => ({
    count: 0
  }),
  actions: {
    increment() {
      this.count++;
    }
  },
  getters: {
    double: (state) => state.count * 2
  }
});
<script setup>
import { useCounterStore } from '@/stores/counter';
const counter = useCounterStore();
</script>

<template>
  <button @click="counter.increment">
    Count: {{ counter.count }}
  </button>
</template>

✅ ไม่ต้องจำ commit, dispatch — ใช้ actions โดยตรง


🏗️ Nuxt.js — Meta-Framework สำหรับ Vue

เช่นเดียวกับ Next.js สำหรับ React Nuxt.js คือเฟรมเวิร์กที่สร้างบน Vue เพื่อเพิ่มฟีเจอร์สำคัญ:

  • Server-Side Rendering (SSR) → ดีต่อ SEO
  • Static Site Generation (SSG)
  • File-based Routing
  • API Routes
  • Auto-imports สำหรับ Components, Composables, Plugins
npx nuxi init my-app
💡 Coming Soon in Part 3

เราจะเจาะลึก Nuxt.js อย่างละเอียดในบทความต่อไป: ตั้งแต่ SSR, Nitro Server, ไปจนถึง Deployment


🎨 UI Libraries ยอดนิยม

  1. Element Plus ดีไซน์เป็นทางการ, ใช้ในองค์กรจีน
  2. Quasar Framework สร้างทั้ง Web, Mobile, Electron ในโปรเจกต์เดียว
  3. PrimeVue Component ครบครัน, ธีมหลากหลาย
  4. Naive UI ทันสมัย, ใช้ TypeScript อย่างเต็มที่

แนวทางการเรียนรู้ Vue.js (สำหรับมือใหม่)

หากคุณเพิ่งเริ่มต้น นี่คือลำดับที่แนะนำ พร้อมลิงก์ไปยังแหล่งเรียนรู้:

  1. ฝึก JavaScript พื้นฐาน
    🔗 MDN Web Docs: JavaScript
    🎥 ช่อง YouTube: The Net Ninja - Modern JavaScript

  1. เรียนรู้ Vue พื้นฐาน (Options API)
    🔗 Vue.js Official Guide

  1. ย้ายมาใช้ Composition API และ <script setup>
    🔗 Vue Mastery: Composition API
    💻 GitHub: vuejs/docs - Examples

  1. สร้างโปรเจกต์เล็กๆ เช่น To-Do List, Blog
    🔗 Frontend Mentor: Vue Challenges

  1. เพิ่ม Vue Router และ Pinia
    🔗 Vue Router Guide
    🔗 Pinia Docs

  1. ย้ายไป Nuxt.js เพื่อสร้างแอปสมบูรณ์
    🔗 Nuxt.js Documentation

💡 เคล็ดลับ: เริ่มจาก Options API เพื่อเข้าใจพื้นฐาน แล้วค่อยย้ายไป Composition API เมื่อโปรเจกต์ซับซ้อนขึ้น


สรุป

Vue.js ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น เฟรมเวิร์กที่ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพและความชัดเจน

ด้วยคุณสมบัติเด่น:

  • เอกสารดีที่สุดในวงการ
  • เรียนรู้ง่าย แต่ทรงพลังพอสำหรับโปรเจกต์ใหญ่
  • Reactivity System ที่ชาญฉลาด
  • Composition API ที่ยืดหยุ่นสูง
  • Ecosystem ที่ครบครัน

Vue จึงยังคงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนักพัฒนาทั้งมือใหม่และมืออาชีพในปี 2025

💡 Pro Tip!

อย่าลังเลที่จะเริ่มจาก Options API — มันไม่ใช่ “ล้าสมัย” แต่คือ ทางเข้าที่ดีที่สุด สำหรับมือใหม่


🚀 คำแนะนำสุดท้าย: ฝึกด้วยโปรเจกต์จริง ไม่ว่าจะเป็น To-Do App หรือ Admin Dashboard การลงมือทำคือกุญแจสู่ความเข้าใจลึก

ติดตามตอนต่อไป: Nuxt.js — เฟรมเวิร์กที่ทำให้ Vue สมบูรณ์แบบ